ก่อนที่จะ จำนำเล่มรถ ต้องรู้ขั้นตอนและเงื่อนไขก่อน

คนมีต้องรู้ ก่อนขอสินเชื่อรถแลกเงิน
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเงินก้อนมาเสริมสภาพคล่อง ไม่ว่าจะไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จ่ายค่าเทอมบุตรหลาน ค่ารักษาพยาบาล แหล่งเงินด่วนถูกกฎหมายอย่างการเปลี่ยนรถเป็นเงินถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ หากมีเล่มทะเบียนอยู่ในมือก็สามารถนำไป จำนำเล่มรถ ได้ นอกจากได้รับเงินก้อนในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยังเลือกผ่อนชำระได้ตามระยะเวลาที่ต้องการ ใครมีแพลนขอสินเชื่อ จำนำเล่มรถ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง และมีที่ไหนน่าสนใจบ้างมาหาคำตอบกัน

รู้จักการจำนำเล่มทะเบียนรถยนต์ ตัวช่วยสำหรับคนมีรถ

ก่อนอื่นขอพาทุกคนไปทำความรู้จักการจำนำทะเบียนรถหรือรถแลกเงินให้มากขึ้น โดยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถก็คือการ จำนำเล่มรถ ที่มีชื่อคุณเป็นผู้ครอบครองไปฝากไว้ที่ธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินจนกว่าจะชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนครบตามที่ระบุไว้ในสัญญา และระหว่างผ่อนชำระผู้ขอสินเชื่อยังใช้งานรถได้เหมือนเดิม เมื่อพิจารณาพบว่ารถที่นำมาขอสินเชื่อต้องเป็นรถที่ผ่อนหมดแล้วหรือรถปลอดภาระเท่านั้น

โดยข้อดีของการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถประเภทนี้ คือ รู้ผลอนุมัติไว ได้รับเงินโอนเข้าบัญชีทันทีหลังทราบผล แค่มีรถปลอดภาระก็เหมือนมีเงินสดอยู่ในมือ ปัจจุบันการจำนำทะเบียนรถที่ได้รับความนิยมมีทั้งแบบโอนเล่มและไม่โอนเล่ม โดยทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันดังนี้

จำนำเล่มทะเบียนรถแบบโอนเล่ม
เป็นการกู้ยืมเงินที่ผู้ขอสินเชื่อต้องโอนกรรมสิทธิ์รถไปเป็นชื่อธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน โดยขั้นตอนการโอนเล่มทะเบียนผู้ขอสินเชื่อต้องไปทำเองที่กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งใกล้บ้าน พร้อมชำระค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการโอนรถทั้งหมด แม้จะมีการโอนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองจริง แต่ผู้ขอสินเชื่อยังใช้งานรถคันดังกล่าวได้เหมือนเดิมไม่ต้องจอดทิ้งไว้ที่ผู้ให้บริการสินเชื่อ เมื่อผ่อนชำระเงินคืนครบถึงไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์รถคืนเป็นชื่อตนเอง

จำนำเล่มทะเบียนรถแบบไม่โอนเล่ม
คือ การขอสินเชื่อจำนำรถโดยใช้เล่มทะเบียนรถเป็นประกันการกู้ยืมเงิน ไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ไปให้ธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ชื่อบนสมุดรถยังเป็นชื่อผู้ขอสินเชื่อเหมือนเดิม นอกจากได้รับเงินสดไปใช้จ่ายตามความต้องการ ยังสามารถนำรถไปใช้งานได้ปกติ เมื่อผ่อนชำระครบถึงได้เล่มทะเบียนคืนกลับไป
โอนเล่มกับไม่โอนเล่มต่างกันยังไง เลือกแบบไหนถึงตอบโจทย์

เพื่อให้ตัดสินใจเลือกวิธี จำนำเล่มรถ ได้คุ้มค่าและตรงใจมากที่สุด มาดูกันว่าสินเชื่อรถแลกเงินโอนเล่มกับไม่โอนเล่มต่างกันยังไง

วงเงินสินเชื่อ
การขอสินเชื่อจำนำทะเบียนรถหรือสินเชื่อรถแลกเงินแบบไม่โอนเล่มอาจได้รับอนุมัติวงเงินที่น้อยกว่า เนื่องจากเป็นการฝากเล่มทะเบียนไว้ที่ผู้ให้บริการสินเชื่อเท่านั้น ต่างจากการสมัครสินเชื่อแบบโอนเล่มที่มีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถไปเป็นธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เป็นผลให้ผู้ให้บริการสินเชื่อมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าผู้ขอสินเชื่อจะชำระเงินคืนจนครบ ทำให้ได้รับวงเงินอนุมัติที่สูงกว่า

ขั้นตอนการสมัครต่างกัน
จำนำรถแบบโอนเล่มต้องมีการเดินทางไปโอนกรรมสิทธิ์รถที่กรมกรมขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งใกล้บ้าน ทำให้ต้องเตรียมเอกสารประกอบการสมัครและโอนรถมากกว่าเดิม ขณะที่การขอสินเชื่อแบบไม่โอนเล่ม แค่นำเล่มทะเบียนรถที่ปลอดภาระและเอกสารการสมัครตามที่ผู้ให้บริการสินเชื่อกำหนดไว้ไปยื่น หากคุณสมบัติผ่านและเอกสารครบถ้วนใช้เวลาไม่นานก็ทราบผลอนุมัติ

ระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อ
สินเชื่อรถแลกเงินแบบไม่โอนเล่มเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์คนต้องการเงินด่วน เพราะทราบผลอนุมัติไวและรับโอนเงินเข้าบัญชีทันทีเมื่อผ่านการอนุมัติ แค่เอกสารครบ คุณสมบัติผู้สมัครเป็นไปตามเงื่อนไข รู้ผลเร็วภายใน 1 ชั่วโมง ขณะที่สินเชื่อแบบโอนเล่มทะเบียนใช้ระยะเวลาดำเนินการนานกว่า เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อต้องไปดำเนินการโอนเล่มทะเบียนให้เรียบร้อยก่อน ถึงไปยื่นใบสมัครขอสินเชื่อได้

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
สำหรับรถแลกเงินแบบโอนเล่ม ผู้ขอสินเชื่อต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการโอนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองในเล่มทะเบียนรถเองทั้งหมด ขณะที่สินเชื่อแบบไม่โอนเล่มไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เมื่อทราบถึงความแตกต่างระหว่างการขอสินเชื่อจำนำทะเบียนรถแบบโอนเล่มกับไม่โอนเล่ม จะเลือกใช้บริการแบบไหนถึงตอบโจทย์คนมีรถปลอดภาระ ให้พิจารณาถึงความต้องใช้เงินก้อนว่าด่วนมากแค่ไหน ถ้าอยากได้เงินมาใช้จ่ายทันทีไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดจำนำเล่มรถ แบบไม่โอนเล่มถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด เพราะไม่ต้องรอผลอนุมัติสินเชื่อนาน แต่กรณีที่ไม่รีบเพราะอยากได้เงินสดมาสำรองไว้ยามฉุกเฉินหรือต่อยอดธุรกิจ การสมัครสินเชื่อแบบโอนเล่มที่ให้วงเงินสูงน่าจะตอบโจทย์มากกว่า

ก่อนไปขอสินเชื่อจำนำเล่มรถควรรู้เรื่องใดบ้าง

ชื่อผู้ขอสินเชื่อกับเจ้าของกรรมสิทธิ์รถต้องเป็นคนเดียวกัน
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่คนมีรถปลอดภาระที่ต้องการเปลี่ยนรถเป็นเงินควรรู้ ก็คือชื่อผู้ขอสินเชื่อกับชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในเล่มทะเบียนต้องเป็นบุคคลเดียวกันเท่านั้น ไม่สามารถนำรถที่เป็นของบุคคลอื่นมายื่นขอสินเชื่อได้ เว้นแต่จะพาเจ้าของกรรมสิทธิ์รถตัวจริงมาดำเนินการสมัครสินเชื่อจำนำทะเบียนรถด้วยตัวเอง

ต้องเป็นรถปลอดภาระเท่านั้น
การสมัครสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อย่างการจำนำรถทั้งแบบโอนเล่มและไม่โอนเล่ม ทางธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินได้กำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่า รับเฉพาะรถปลอดภาระหรือรถผ่อนหมดแล้วเท่านั้น ฉะนั้นใครที่รถยังติดผ่อนอยู่ไม่สามารถขอสินเชื่อประเภทนี้ได้ แต่ถ้าต้องการเงินมาเสริมสภาพคล่องจริง ๆ อาจเลือกขอรีไฟแนนซ์รถแทน

คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อและประเภทรถที่รับ
นอกจากมีเล่มทะเบียนรถปลอดภาระมาเป็นประกันการกู้ยืมเงิน คุณสมบัติของผู้สมัครและประเภทรถที่นำมาจำนำก็มีความสำคัญไม่น้อย หากคุณสมบัติหรือประเภทรถไม่ตรงตามเงื่อนไข อาจทำให้ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารใหม่ แถมได้เงินก้อนล่าช้ากว่าเดิม สำหรับผู้ที่สนใจสินเชื่อควรมีคุณสมบัติดังนี้
– สัญชาติไทย อายุ 20 – 65 ปี
– รายได้ขั้นต่ำ 8,000 บาทต่อเดือน (กรณีเจ้าของกิจการ มียอดขายต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท)
– ประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 4 เดือน (กรณีเจ้าของกิจการต้องดำเนินธุรกิจไม่ต่ำกว่า 6 เดือน)
– มีรถยนต์ รถกระบะ รถตู้เป็นชื่อของตนเอง โดยถือครองเล่มทะเบียนไม่ต่ำกว่า 6 เดือน

เอกสารที่ใช้สมัครสินเชื่อ
แม้ธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินจะกำหนดเอกสารสมัครสินเชื่อรถแลกเงินไว้ใกล้เคียงกัน แต่กรณีสมัครสินเชื่อ จำนำเล่มรถ มีลิสต์เอกสารที่ต้องตระเตรียมให้พร้อม ดังนี้
– สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
– สำเนาทะเบียนบ้าน
– เอกสารแสดงรายได้ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน หรือสลิปเงินเดือนล่าสุด (ฉบับจริง) หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทวิ 50 หรือเอกสารแสดงการประกอบอาชีพ
– สำเนาเอกสารแสดงรายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
– สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย หรือธนาคารกรุงเทพ
– ทะเบียนรถเล่มจริง และมีชื่อผู้กู้เป็นเจ้าของ
– สำเนากรมธรรม์ประกันภัยตามเงื่อนไข

ประเภทของงานพิมพ์ ที่โรงพิมพ์นิยมใช้กันบ่อยๆ มาดูกันค่ะ

การพิมพ์ เป็นจำลองต้นฉบับหรือการสำเนาลงบนวัตถุที่มีพื้นผิวเรียบหรืออาจจะแบนราบหรือโค้งนูน ค่อนข้างขรุขระเพียงเล็กน้อย ให้มีคุณภาพใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด โดยคำนึงถึงปริมาณในการผลิตจำนวนมาก สิ่งที่นำมาสำเนาอาจเป็นรูปภาพ ตัวหนังสือ สัญลักษณ์ต่าง ๆ วัตถุที่นำมารองรับอาจเป็นวัตถุผิวเรียบ เช่นกระดาษแผ่นไม้กระดานหรืออาจมีประเภทนูนหรือขรุขระ ผิวโค้ง ก็ได้ ในปัจจุบันจะไม่ใช้การพิมพ์เพียงประเภทเดียว เพราะจะทำให้งานพิมพ์ออกมาไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ซึ่ง โรงพิมพ์ ส่วนใหญ่ที่ผู้ประกอบการโรงพิมพ์นิยมใช้ จะใช้วิธีการพิมพ์หลักๆอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน โดยแต่ละประเภทนั้น จะมีความเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันไป และมีลักษณะของการพิมพ์ที่แตกต่างกันอีกด้วยค่ะ

การพิมพ์แบบออฟเซ็ท เป็นการพิมพ์ที่เน้นรายละเอียดการพิมพ์สูงจนถึงสูงมาก ทำให้งานพิมพ์มีคุณภาพและใช้เวลาในการพิมพ์เร็วที่สุดอีกด้วยค่ะ ใช้ระบบและหลักการ น้ำไม่รวมกับน้ำมัน ซึ่งโรงพิมพ์ส่วนใหญ่ให้ความนิยมมากที่สุด แต่การพิมพ์ออฟเซ็ท จะใช้กับการพิมพ์แบบพื้นราบเท่านั้น จึงเหมาะกับการพิมพ์แบบพื้นราบที่ใช้หลักการเดียวกันนั่นเอง เครื่องพิมพ์มีหลายขนาด มีทั้งเครื่องพิมพ์ 1 สี 2 สี 4 สี 5 สี หรือมากกว่านั้น ตัวอย่างงานพิมพ์ออฟเซ็ท เช่น พิมพ์ใบปลิว พิมพ์แผ่นพับ พิมพ์โบรชัวร์ พิมพ์หนังสือ พิมพ์วารสาร พิมพ์นิตยสาร บรรจุภัณฑ์กระดาษ พิมพ์แคตตาล็อก และงานพิมพ์ใช้ในสำนักงาน

การพิมพ์ดิจิตอล เป็นการพิมพ์ที่จะใช้เครื่องพิมพ์หรือพริ้นเตอร์ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยให้ให้ความสะดวกรวดเร็วเหมาะกับงานที่ต้องการความเร่งด่วน แต่สำหรับ โรงพิมพ์ นั้น จะเป็นเครื่องปริ้นที่มีความแตกต่างออกไปจากที่เรานิยมใช้กัน คือ ใช้หมึกประจุไฟฟ้าในการพิมพ์ แต่การพิมพ์ดิจิตอลนั้น มักจะใช้กับงานพิมพ์ที่มีขนาดเล็กและมักจะต้องพิมพ์ใหม่บ่อยๆหรือเปลี่ยนข้อมูลของงานพิมพ์บ่อยๆนั่นเองค่ะตัวอย่างงานพิมพ์ประเภทนี้คือ งานพิมพ์ที่มีปริมาณไม่มาก เช่น นามบัตร แผ่นพับ ใบปลิว หนังสือ งานพิมพ์ที่มีการเปลี่ยนภาพหรือข้อความบ่อย ๆ เช่น ไดเร็คเมล์ งานพิมพ์ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่

การพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ เป็นการพิมพ์ที่ต้องใช้แม่พิมพ์ในการพิมพ์ ซึ่งเป็นการพิมพ์แบบโบราณ และยังเป็นการพิมพ์ที่ทำได้ยากมากทีเดียว ซึ่งการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์นั้น จะเป็นการพิมพ์ที่ใช้กับงานพิมพ์พื้นนูนเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน พบว่าการพิมพ์ประเภทนี้ ไม่ค่อยมีให้เห็นนัก เพราะต้องทำแม่แบบ ซึ่งจะทำให้มีความยุ่งยากมากทีเดียว อีกทั้งยังมักจะได้ภาพและข้อความที่ไม่ค่อยสวยอีกด้วย เมื่อมีการพิมพ์แบบใหม่ที่ทันสมัยและรวดเร็วกว่าขึ้นมาการพิมพ์แบบนี้จึงเริ่มตกยุคไปนั่นเอง

การพิมพ์(ซิลค์)สกรีน เป็นการพิมพ์ที่คล้ายกับการสกรีน คือจะให้น้ำหมึกซึมผ่านทะลุไปตามรอยที่ทำการฉลุไว้นั่นเอง ซึ่งการพิมพ์แบบนี้จะเหมาะกับงานพิมพ์ที่เป็นพื้นฉลุเท่านั้น และต้องเป็นงานที่ไม่ต้องการรายละเอียดมากนัก สามารถพิมพ์งานสอดสีได้ นอกจากนี้การพิมพ์(ซิลค์)สกรีน ยังสามารถใช้กับการพิมพ์บนวัตถุที่เป็นแนวโค้งได้อีกด้วย เช่นแก้ว ขวด จานชาม เป็นต้น

การพิมพ์แต่ละประเภทนั้น จะเหมาะกับงานพิมพ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งงานพิมพ์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะเป็นงานพิมพ์ประเภทออฟเซ็ท เนื่องจากมีความสะดวกและคล่องตัวในการผลิต ดังนั้นประเภทของโรงพิมพ์ที่มีให้บริการมากที่สุดก็คือโรงพิมพ์ออฟเซ็ท